본문 바로가기
DIARY

[Diary] 170629 เล่าสู่กันฟัง หลังดูมิวสิคัล <HAMLET & MATAHARI> #VIXX #LEO #KEN

by cieloza 2017. 7. 26.

ในที่สุดดดด

ในที่สุดก็ได้ทำสิ่งที่อยากทำมานาน

นั่นก็คือการรีวิว(?)ดูมิวสิคัลที่เกาหลีครั้งแรกค่ะ (ที่จริงเป็นการดูมิวสิคัลครั้งแรกในชีวิตด้วย...)

เอาจริงๆ ก็ไม่ถึงขั้นรีวิวหรอก จะเขียนเล่าสู่กันฟังเฉยๆ ว่าเป็นยังไงบ้าง

เริ่มเลยเนอะ


ก่อนอื่นคือเราจองบัตรมิวสิคัลล่วงหน้าที่ไทยค่ะ

วางแพลนไว้ว่าจะไปเที่ยวเกาหลีกับเพื่อนช่วง 26 มิถุนายน - 7 กรกฎาคม

(ที่เลือกช่วงนี้เพราะอยากอยู่เกาหลีในวันเกิดพี่เอ็นและนุ้งฮยอก 5555555)

แล้วทีนี้ก็มีข่าวว่ามาตาฮารีจะเปิดแสดงอีกรอบพอดี ดีใจมาก อยากดูตั้งแต่ปีที่แล้วววว

พอเค้าเปิดให้จองบัตรปุ๊บก็รีบจองเลย

แต่ตังค์ไม่ค่อยมี เลยเลือกที่นั่งชั้น 2 ไป (จาก 3 ชั้น...) ถือว่ามาเก็บเกี่ยวประสบการณ์5555555

รอบที่เลือกไปแน่นอนว่าต้องเป็นรอบของพี่เลโอในวันที่ 29 มิถุนายน ตอน 2 ทุ่ม เวลาเกาหลีค่ะ


แล้วทีนี้...

ก็มีข่าวว่าพี่เคนจะร่วมแสดงในมิวสิคัลแฮมเล็ตด้วย

กี๊สสสส ขุดตังค์ทุกบัญชีเลยค่ะทีนี้5555555

แฮมเล็ตนี่ก็จองชั้น 2 ไปเหมือนกัน เพราะตังค์ไม่ค่อยมี

แต่ได้แถวหน้าสุด ก็น่าจะโอเคแหละ (ตอนจองคิดแบบนี้...)

แฮมเล็ตเราก็ไปดูรอบวันที่ 29 มิถุนายนเหมือนกันค่ะ ตอนบ่าย 3 โมง เวลาเกาหลี


เป็นอันว่าจองบัตรเรียบร้อยทั้งมาตาฮารีและแฮมเล็ต เย่~

(ทำเป็นไม่ได้ยินเสียง SMS แจ้งยอดเงินคงเหลือในบัญชี...)


ทั้งสองเรื่องเราจองผ่านเว็บ interpark นะคะ

หน้าเว็บจะบอกว่าให้เรานำบัตรเครดิต/เดบิตที่เราใช้จองไปยื่นที่เคาน์เตอร์เพื่อรับบัตรมิวสิคัล

แต่เราดันใช้ online shopping card จองไปค่ะ คือไม่มีตัวบัตรไปยื่นให้เค้านั่นเอง

ก็เลยเมลไปถาม interpark เค้าบอกว่าไม่ต้องนำบัตรมาก็ได้ แค่ปริ๊นท์ใบคอนเฟิร์มมาก็พอ

โอเค โล่งอกไป5555555

สำหรับวิธีจองจะข้ามไปนะคะ ใครสงสัยก็มาถามได้หลังไมค์เนาะ


ทีนี้ก็ตัดภาพมาที่วันที่ 29 มิถุนายนค่ะ

เราต้องไปดูแฮมเล็ตก่อนตอน 3 โมง ไปคนเดียวด้วย (มาตาฮารีมีเพื่อนไปดูด้วย)

ไม่เคยไปดูมิวสิคัลที่เกาหลีมาก่อนเลย ตื่นเต้นมากค่ะ เหมือนกำลังจะไปผจญภัย555555

แฮมเล็ตจัดแสดงที่ D-Cube Arts Center นั่งเมโทรสายสีเขียว (สาย 2) มาลงที่สถานีชินโดริม (신도림역/Sindorim Station)

ออกที่ทางออก 1 สถานีเมโทรจะเชื่อมกับห้าง D-Cube Department Store หรือ Hyundai Department Store Dcube City เลยค่ะ

ส่วนโรงละครอยู่บนชั้น 7 นี่แหละค่ะปัญหา...

ตอนที่ไปยืนอยู่หน้าลิฟต์นี่รู้สึกเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงเลยค่ะ ลิฟต์หรูมากกกก

และปัญหาคือมันไม่มีปุ่มให้กดขึ้นหรือกดลง เอาละไง...

ตอนแรกนึกว่ามีเราไม่รู้อยู่คนเดียว ปรากฏว่าคนเกาหลีที่อยู่ข้างๆ เค้าก็ยืนงงเหมือนกันค่ะ5555555 (ดีใจที่มีเพื่อนงง)

คือหน้าลิฟต์จะมีจอทัชสกีนที่มีตัวเลขชั้นอยู่

สรุปคือเราต้องกดบนจอว่าเราจะไปชั้นไหน แล้วลิฟต์มันจะบอกเองค่ะว่าให้เราไปรอที่ลิฟต์ตัวไหน

เกิดมาเพิ่งเคยเจอลิฟต์แบบนี้ครั้งแรกเลยจริงๆ 5555555 และแล้วก็ได้ขึ้นลิฟต์โดยสวัสดิภาพค่ะ LOL

บนชั้น 7 จะมีโรงหนัง คาเฟ่ แล้วก็เคาน์เตอร์รับ/ซื่อบัตรมิวสิคัล (ส่วนโรงละครต้องขึ้นบันไดเลื่อนไปอีกชั้นค่ะ)

เราก็นำใบจองไปรับบัตรแล้วก็มาถ่ายรูป 인증샷!



จากนั้นก็ขึ้นไปที่โรงละครค่ะ

หน้าโรงละครก็จะมีบูธขายของที่ระลึก (แต่เราไม่ได้ถ่ายรูปมา...)

แล้วก็บอร์ด(?)รายชื่อนักแสดงของรอบนี้ค่ะ ที่ยอดฮิตที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูป5555555



เคนเล็ต ♥



ถ่ายรูปกันจนพอใจแล้วก็รอพนักงานตรวจบัตรมายืนประจำที่ เราก็เข้าโรงละครได้เลยค่ะ

แต่เนื่องจากเราจองชั้นสองไว้ เราจึงต้องขึ้นไปอีกชั้นนึง

เราไม่ได้ถ่ายรูปด้านในโรงละครมา แต่โรงเล็กมากค่ะ ขนาดประมาณโรงหนังบ้านเรานี่แหละ ถึงจะอยู่ชั้น 2 ก็เห็นชัดแจ่ว

เสียอย่างเดียว แถวแรกของชั้น 2 จะติดกับที่กั้น และบนที่กั้นจะมีราวเหล็กสูงประมาณ 10-15 ซม. นี่แหละค่ะ

เจ้าราวเหล็กนี่แหละที่บังสายตา หรือไม่ก็อาจจะผิดที่เราเตี้ยเอง ฮือออ

สรุปแล้วก็ต้องนั่งยื่นตัวมาข้างหน้าตลอด จะได้เห็นชัดๆ แต่เอาเถอะ...

อ้อ คนที่มาดูรอบนี้ไม่เยอะมากนะคะ คงเพราะเป็นวันธรรมดารอบบ่าย น่าจะทำงานกันอยู่


เอาล่ะ ได้เวลาเข้าเรื่องแล้วค่ะ หลังจากสาธยายเรื่องอื่นมายาวเหยียด

สำหรับแฮมเล็ตเราเคยได้ยินแต่ชื่อนิยายเรื่องนี้ค่ะ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเรื่องราวเป็นยังไง

สรุปคือมาดูโดยที่ไม่รู้อะไรเลยค่ะ5555555 ตอนดูก็เลยต้องตั้งใจฟังเป็นพิเศษ

ยิ่งมาเป็นเพลงแบบนี้ ปกติแล้วเวลาฟังเพลงเราจะชอบปล่อยให้ผ่านหูไปเรื่อยๆ

แต่นี่ต้องตั้งใจฟังมากเลยค่ะว่าเนื้อเพลงเค้าบอกว่าอะไร OTL

แต่บทของแฮมเล็ตฟังง่ายค่ะ นักแสดงทุกคนก็ร้องแบบฟังง่ายมาก และเพลงก็สนุกด้วย


เนื้อเรื่องเท่าที่จำได้ก็ค่อนข้างตรงกับที่ค้นในวิกิพีเดียค่ะ LOL

ก็คือพ่อของแฮมเล็ตถูกฆ่า แล้วลุงก็ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน แถมยังแต่งงานกับอดีตราชินี หรือแม่ของแฮมเล็ตอีก

แฮมเล็ตก็โกรธทั้งลุงทั้งแม่ ไม่ยอมพบหน้าใคร ไปเจอแค่โอฟิเลียซึ่งเป็นคนรัก แต่พ่อกับพี่ชายของโอฟิเลียไม่ค่อยเห็นด้วยเรื่องที่คบกัน

ระหว่างที่มิวสิคัลดำเนินไปเราจะได้เห็นวิญญาณของกษัตริย์องค์ก่อนทุกครั้งที่เปลี่ยนฉากเลยค่ะ ตัวเรืองแสงลอยผ่านไป LOL


ฉากที่ทุกคนอยากเห็นที่สุดคงจะเป็นฉากที่แฮมเล็ตถอดเสื้อใช่มั้ยล่ะคะ55555555

มันคือฉาก Bed Scene ของแฮมเล็ตกับโอฟิเลียค่ะ แฮมเล็ตมีแค่ผ้าแพรผูกเอว (พี่เคนเอวบางมาก ผอมมากกก)

และนอนรอโอฟิเลียอยู่บนเตียง (กรี๊ด!)

ตรงฉากนี้จะเห็นแค่เงาโอฟิเลียถอดชุดก้าวขึ้นเตียงแล้วก็ทั้งคู่ก็โน้มตัวเข้ามาจูบกัน(แต่คิดว่ายังไม่โดนปาก) จากนั้นแสงก็จะมืดลงค่ะ

แล้วคืนนั้นก็เป็นคืนที่พ่อของแฮมเล็ตมาบอกให้แฮมเล็ตไปแก้แค้น

หลังจากนั้นแฮมเล็ตก็จะแกล้งบ้า ผลักไสโอฟิเลียและทุกคน รวมถึงหาทางแก้แค้นให้พ่อ


เราชอบฉากที่ทุกคนมารวมตัวกันนินทาว่าแฮมเล็ตบ้าไปแล้ว แล้วจู่ๆ แฮมเล็ตก็โผล่มากลางวง ทำตัวเหมือนคนบ้า ทำให้ทุกคนกลัว

อันนี้เห็นว่าพี่เคนถึงขั้นเปิดยูทูบดูเลยว่าคนบ้าเค้าแสดงกันยังไง เราว่าพี่เคนทำออกมาได้ดีค่ะ บ้าได้สะใจดี

ทั้งสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียง ดูแล้วสะใจสุดๆ


เรื่องราวที่เหลือก็คือแฮมเล็ตวางแผนให้คณะละครเร่มาแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับการลอบปลงพระชนม์

แฮมเลตฆ่าพ่อของโอฟิเลียเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็น คลอดิอัส (ลุงของแฮมเล็ต)

ระหว่างที่เอาศพพ่อของโอฟิเลียไปซ่อน โอฟิเลียก็ผ่านมาพอดี เห็นหลังแฮมเล็ตไวๆ จึงวิ่งตามไป แล้วก็ได้พบกับศพพ่อตัวเอง

หลังจากนั้นโอฟิเลียก็เสียสติ และโดดหน้าผาตายเพราะทุกข์ใจทั้งเรื่องพ่อและเรื่องแฮมเล็ตค่ะ ก่อนตายนางยังร่ำร้องหาแฮมเล็ตๆ อยู่นั่น


บทสรุปของเรื่องคือตัวละครสำคัญๆ ตายหมด รวมถึงตัวแฮมเล็ตเองด้วย คนที่คอยคลีคลายสถานการณ์ก็คือเพื่อนสนิทของแฮมเล็ตค่ะ


นอกจากนี้ที่เราประทับใจก็คือในเรื่องเราจะได้เห็นความทุกข์ใจของราชินีด้วย

การต้องแต่งงานรอบสองกับพี่ชายสามีตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนัก แต่ถ้าไม่ทำก็คงไม่มีชีวิตรอดต่อไป

แถมลูกชายยังมากลายเป็นเด็กมีปัญหา กลายเป็นคนบ้าในสายตาคนอื่น

แฮมเล็ตโกรธแม่มาก แทบไม่พูดดีๆ กับแม่เลย ไม่พอใจอะไรก็ชอบมาโวยวายใส่แม่ตลอด ราชินีเองก็เสียใจค่ะ

ตอนที่แฮมเล็ตพลั้งมือฆ่าพ่อของโอฟิเลียแล้วช็อกเสียสติไป (คราวนี้เสียสติจริงๆ ละ ไม่ได้แกล้ง555555) ราชินีก็คอยมากอดปลอบลูก

เราชอบฉากนี้มาก พี่เคนแสดงความเป็นเด็กออกมาได้ดีค่ะ เด็กที่ทำผิดโดยไม่ได้ตั้งใจแล้วก็โผเข้าหาแม่ ให้แม่ปลอบ

(โถๆๆ เมื่อกี้เอ็งยังด่าแม่อยู่ปาวๆ...)


ตอนท้ายการแสดงเป็นช่วงที่ถ่ายรูปได้ค่ะ แต่เราไม่ได้ถ่ายเพราะอยากดูด้วยตาตัวเอง แถมอยู่ชั้น 2 ถ่ายออกมาคงไม่เวิร์คเท่าไหร่

นักแสดงแต่ละคนจะออกมาร้องเพลงประจำตัว แล้วก็โค้งขอบคุณผู้ชม

ส่วนที่พี่เคนชอบแถมนิดแถมหน่อยก็น่าจะได้เห็นกันตามแฟนแคมแล้วเนาะ


ไปต่อกันที่มาตาฮารีค่ะ

มาตาฮารีจัดแสดงที่ 세종문화회관 หรือ Sejong Center ที่นี่มีโรงละครหลายโรงนะคะ

แต่มาตาฮารีขึ้นแสดงที่โรงใหญ่สุด คือ Sejong Grand Theater ค่ะ

ก่อนหน้าจะมาที่นี่เราแวะ(?)เอารองเท้าไปเปลี่ยนที่มยองดงก่อน

แล้วก็นั่งเมโทรสาย 1 ต่อมาลงที่สถานีชงกัก (종각역/Jonggak Station) ออกทางออก 1 เดินมาแป๊บนึงก็ถึงแล้วววว


หลังจากรับบัตรมาก็ต้องมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก



และแถวนั้นก็มีฉากของมาตาฮารีให้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกด้วยค่ะ เก๋กู้ดมั่กๆ



ตอนแรกก็กะจะไปถ่ายรูปบอร์ดรายชื่อนักแสดงเหมือนที่ถ่ายของแฮมเล็ตมาค่ะ แต่หาไม่เจอ ฮือออ

คิดว่าน่าจะตั้งอยู่หน้าทางเข้าโรงละครชั้นหนึ่ง ซึ่งอยู่คนละทางกับทางขึ้นชั้น 2

เราไม่ได้ผ่านไปทางนั้นเลยไม่ได้ถ่ายมาค่ะ เสียดายมากๆ แง

ได้แค่รายชื่อมาแทน ไม่มีรูป OTL



ส่วนด้านล่างนี้เป็นรูปในโรงละครค่ะ ใหญ่มว้ากกกก มีตั้ง 3 ชั้น เหมือนโรงละครโอเปร่าที่เห็นในหนังเลยค่ะ ตื่นเต้นสุดๆ 55555555



ที่นั่งของที่นี่มีจอให้ทุกที่นั่งเลยค่ะ เพื่อนเรานางก็หวังว่าจะมีซับภาษาอังกฤษขึ้นให้ที่จอ

แต่เอาเข้าจริงก็ไม่มีค่ะ ถถถถถ สงสาร5555555 นางก็นั่งฟังไปทั้งที่ไม่รู้เรื่องแบบนั้นแหละ รอให้เราสรุปให้ฟังตอนพักครึ่งและตอนจบ


แล้วก็ มาตาฮารีรอบนี้คนมาดูเยอะมากกกกกค่ะ เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงได้เปิดแสดงอีกรอบ แถมยังได้แสดงในที่ใหญ่ขนาดนี้

กรุ๊ปที่นั่งข้างหลังเรานี่น่าจะมากันทั้งแผนกเลยค่ะ แบบเลิกงานแล้วก็ชวนกันมาดูมิวสิคัล

คนเกาหลีเค้ามีวัฒนธรรม 회식 (ฮเวชิก) หรือการสังสรรค์กันหลังเลิกงานอยู่แล้ว บางทีนี่อาจจะเป็นการฮเวชิกของเขา555555

ส่วนแถวข้างหน้าเรานี่มาทั้งครอบครัวค่ะ พ่อแม่พี่น้องปู่ย่าตายายมากันหมด เห็นโรงใหญ่แบบนี้แต่คนก็เกือบเต็มค่ะ ของเขาดีจริงๆ


ต่อไปก็มาเข้าเรื่องกันค่ะ

ก่อนอื่นเลย เทียบกับแฮมเล็ตแล้ว มาตาฮารีฟังยากกว่าเยอะเลยค่ะ บทพูดเยอะด้วย ในขณะที่แฮมเล็ตเป็นบทร้องซะส่วนใหญ่

ต้องตั้งใจฟังอย่างมากอีกแล้ว หลุดนิดเดียวคืองงเลย LOL


มาตาฮารีจะเปิดฉากด้วยการร่ายรำทุกครั้งค่ะ คือทั้งตอนเริ่มเรื่อง และตอนเริ่มครึ่งหลัง

ถือเป็นเมนของมิวสิคัลเรื่องนี้เลย เพราะนางเอกของเราเค้าเป็นนางรำค่ะ


สำหรับมาตาฮารีเราหาข้อมูลก่อนดูมาบ้าง ก็เลยพอจะรู้ว่าเป็นเรื่องราวของนางรำที่กลายมาเป็นสายลับให้กับเยอรมันและฝรั่งเศส (based on true story) พอเอามาทำเป็นมิวสิคัลเค้าก็เอามาตีความใหม่ค่ะ


ฉากแรกเป็นฉากที่ลาดูซ์ (เขียนแบบนี้รึเปล่านะ...) มาติดต่อให้มาตาฮารีเป็นสายลับให้กับฝรั่งเศส แต่มาตาฯ ไม่ได้ตกลงตั้งแต่แรกนะคะ

หลังจากนั้นมาตาฯ ก็ได้พบกับอาร์มานโดยบังเอิญ(?) อาร์มานมาช่วยเธอไว้จากพวกอันธพาลค่ะ

แต่อาร์มานคะ ตอนเข้าไปห้ามนี่อย่างเท่เลยค่ะ ไปๆ มาๆ โดนเค้ารุมซะงั้น จนมาตาฯ ต้องหาทางช่วย ถถถถถถ

แล้วมาตาฯ ก็พาอาร์มานไปทำแผลที่บ้าน อาร์มานก็เล่นตัว(?)นิดนึงค่ะ ไม่ใช่เนาะ...

อาร์มานบอกว่า แค่อยากได้ลายเซ็นเฉยๆ นี่จะได้ไปถึงบ้านเลยเหรอ ไรทำนองนี้


หลังจากทำแผลเสร็จแล้วอาร์มานก็ผลอยหลับไปที่บ้านของมาตาฯ ค่ะ (แต่นอนตรงโซฟานะ 55555555)

ตื่นขึ้นมากลางดึก อาร์มานก็ทำท่าจะกลับ แต่มาตาฯ ก็ชวนไปที่ระเบียงด้วยกัน ยืนดูดาว แล้วก็คุยนั่นคุยนี่กันไปค่ะ

ทำนองว่าต่างคนต่างเล่าเรื่องของตัวเองน่ะค่ะ แถมยังนัดกันไปเที่ยวที่ลียงด้วยกันอีกต่างหาก เอาแล้วสิ ชักเริ่มจะปิ๊งปั๊ง 555555

หลังจากนั้นอาร์มานและมาตาฯ ก็ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ จนอันนา คนสนิทของมาตาฯ ยังแซว

แล้วมาตาฯ ก็ตกลงเป็นสายลับให้กับฝรั่งเศสค่ะ ตอนแรกอันนาคัดค้าน แต่มาตาฯ ก็รั้นจะทำ อันนาเลยห้ามอะไรไม่ได้


มาตาฯ ถูกส่งไปที่งานเลี้ยงของฝั่งเยอรมัน ประมาณว่าไปใช้เสน่ห์ของเธอล้วงความลับมาซะ ไรงี้

ระหว่างนั้นก็มีทหารเยอรมันเข้ามารายงานหัวหน้าว่ามีสายลับจากฝรั่งเศสแฝงตัวเข้ามา มาตาฯ หน้าซีดเลยค่ะทีนี้

ถึงแม้จะยังไม่โดนจับได้ เพราะดันมีทหารอีกคนซวยแทน ถูกหาว่าเป็นสายลับและถูกยิงตายตรงนั้นเลย

มาตาฯ เห็นแบบนั้นก็รีบขอตัวไปพัก อ้างว่าไม่สบาย

แต่บรรยากาศและเพลงของฉากนั้นมันทำให้เราคิดว่า ฝั่งเยอรมันเหมือนจะรู้อยู่แล้วค่ะว่ามาตาฯ เป็นสายลับ (แต่ไม่แน่ใจนะ ฮือ)


ระหว่างทางกลับปารีส มาตาฯ แวะที่ลียงตามที่ได้นัดแนะกับอาร์มาน (แหมมมม 55555555)

ทั้งคู่เปิดใจคุยกันที่ลียงค่ะ มาตาฯ เล่าเรื่องสามีคนก่อนให้อาร์มานฟังด้วย

แล้วทั้งคู่ก็จูบกันในฉากนี้แหละค่ะ หลังจากตกลงปลงใจกันได้แล้ว 555555

ที่ลียงมีคนบุกเข้ามาที่ห้องพักของมาตาฯ กับอาร์มานค่ะ ดูเหมือนลาดูซ์จะเป็นคนส่งมา แต่ดีที่ทั้งคู่ไหวตัวทัน


พอกลับถึงปารีส มาตาฯ ก็ไปพบลาดูซ์ ลาดูซ์สงสัยว่ามาตาฯ แวะลียงทำไม ทำไมไม่ตรงกลับฝรั่งเศสเลย และไปเจอใครที่ลียง

แต่มาตาฯ ก็เฉไฉไปเรื่อยๆ ค่ะ ประมาณว่าแค่อยากพักผ่อน และไม่ได้ไปเจอใคร


หลังจากมาตาฯ ออกไปแล้ว อาร์มานก็เข้ามาพบลาดูซ์เพื่อรายงานเรื่องมาตาฯ

สรุปแล้วคือ อาร์มานเป็นสายลับที่ลาดูซ์ใช้ให้ไปสืบมาตาฯ อีกทีค่ะ แต่ไปๆ มาๆ อาร์มานกลับหลงรักมาตาฯ ซะงั้น

ลาดูซ์คาดคั้นถึงสาเหตุที่มาตาฯ แวะลียง และที่จริงคือลาดูซ์ก็รู้อยู่แล้วค่ะว่าอาร์มานกับมาตาฯ แอบนัดเจอกันที่ลียง


หลังจากนั้นอาร์มานก็ถูกส่งให้ออกไปรบ อาร์มานจึงเขียนจดหมายทิ้งไว้ให้มาตาฯ ก่อนไปค่ะ

เราจำเนื้อความทั้งหมดไม่ได้ แต่มีท่อนหนึ่งที่เราชอบก็คือ อาร์มานบอกว่า...


"จากกันครั้งนี้ไม่รู้จะได้พบกันอีกเมื่อไหร่ แต่ขอสัญญาว่าหากได้พบกันอีกครั้ง จะไม่มีการกล่าวคำว่า ลาก่อน อีกต่อไป"


อาร์มานก็รู้ค่ะว่าการไปรบครั้งนี้อาจจะไม่ได้กลับมาก็ได้ แต่ก็ต้องไป

หลังจากมาตาฯ ได้อ่านจดหมายก็รีบตามไปที่กองทัพ แต่ก็ไม่ทันค่ะ

มาตาฯ รออยู่ที่กองทัพกับภรรยาทหารคนอื่นๆ แต่พอเครื่องบินกลับมา กลับไม่มีอาร์มานกลับมาด้วย

เปลี่ยนฉากไปที่อาร์มานกำลังหนีการไล่ล่าของทหารเยอรมัน แต่สุดท้ายก็ถูกจับไปเป็นเชลยค่ะ


มาตาฯ ไปขอให้ลาดูซ์ช่วยตามหาอาร์มาน ตอนแรกลาดูซ์จะไม่ช่วยค่ะ ก็แน่ล่ะ ใครจะไปปล่อยให้คนที่ตัวเองชอบไปหาชายอื่น

แต่มาตาฯ ก็ขอร้องอ้อนวอนจนลาดูซ์ยอมบอกว่าอาร์มานอยู่ไหน แล้วมาตาฯ ก็รีบไปหาเลยค่ะ

พอมาตาฯ ไปถึง สภาพอาร์มานคือนอนง่อยเชียว orz ส่วนอาร์มานพอเห็นว่ามาตาฯ มา ก็รีบไล่ให้กลับไปค่ะ เพราะกลัวจะได้รับอันตราย

ตรงนี้เราฟังไม่ค่อยทัน เลยไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ มาตาฯ ถึงฉุกคิดขึ้นมาว่าอาร์มานกับลาดูซ์รู้จักกันได้ยังไง

ทีนี้ก็เป็นเรื่องละค่ะ อาร์มานสารภาพความจริงไปว่าเขาโกหก เขาไม่ได้บังเอิญไปเจอมาตาฯ แต่เขาจับตาดูมาตาฯ อยู่แล้ว

เท่านั้นแหละค่ะ มาตาฯ โกรธและเสียใจมาก ประมาณว่าใครจะโกหกเธอก็ช่าง แต่ต้องไม่ใช่ชายที่เธอรัก

อาร์มานจะอธิบายต่อ แต่มาตาฯ ก็ไม่ฟังแล้วค่ะ หนีกลับปารีสไปเลย แงงง


แล้วหลังจากนั้นมาตาฯ ก็ถูกใส่ร้ายว่าเป็นสายลับเยอรมันค่ะ ตรงนี้เราฟังไม่ค่อยเข้าใจ

ขอไม่ลงลึกถึงรายละเอียด แต่เอาเป็นว่าตรงนี้คือส่วนที่มิวสิคัลตีความใหม่ค่ะ

คือมาตาฯ ไม่ใช่นกสองหัวอย่างที่ใครๆ เข้าใจ แต่เธอถูกใส่ร้ายต่างหาก

และที่จริงลาดูซ์ก็พยายามหาทางช่วยค่ะ แต่สุดท้ายก็ช่วยไม่ได้ ยังไงก็ต้องประหารสถานเดียว


ฝั่งอาร์มานก็อาศัยช่วงที่พยาบาลพาออกมาเดินสูดอากาศนอกโรงพยาบาลแอบหนีออกมา

ระหว่างที่กำลังตัดสินคดีของมาตาฯ อาร์มานก็พรวดพราดเข้ามา ชี้หน้าด่าว่าทุกอย่างเป็นเพราะลาดูซ์

แล้วก็เกิดการต่อสู้แย่งปืนกัน ปืนลั่น อาร์มานตาย...อนาถแท้หนอ เกือบเท่แล้ว

มาตาฯ เข้ามากอดอาร์มานไว้ ตรงนี้เราจำไม่ได้ว่าอาร์มานกับมาตาฯ พูดอะไรกันบ้าง ไม่แน่ใจว่าบอกรักหรืออะไร

แต่สุดท้ายคือยังไงอาร์มานก็ตายค่ะ OTL


ฉากต่อมา มาตาฯ เตรียมตัวไปถูกประหาร โดยมีอันนาช่วยแต่งตัวให้ค่ะ

สำหรับเรา ฉากนี้คือเศร้ามาก เศร้ายิ่งกว่าตอนอาร์มานตาย คือตอนอาร์มานตายนี่เราไม่รู้สึกอะไรเลย

แต่ในฉากนี้ มาตาฯ ทำตัวเหมือนกำลังเตรียมตัวขึ้นแสดงค่ะ ไม่ใช่เตรียมตัวไปตาย คือทำตัวปกติมาก

ในขณะที่อันนาร้องห่มร้องไห้ เพราะเธอคอยดูแลมาตาฯ มาตลอด

บทพูดในฉากนี้ธรรมดามาก แต่กลับเศร้ามากค่ะ


ปกติแล้วมาตาฯ มักจะถามอันนาว่าวันนี้มีคนมาดูการแสดงเยอะมั้ย

ก่อนถูกประหาร มาตาฯ ก็ถามอันนาด้วยคำถามนี้ค่ะ อันนาได้แต่ร้องไห้ จนมาตาฯ ต้องถามซ้ำ

อันนาจึงต้องพยายามทำตัวเป็นปกติไปด้วย ทั้งที่ต้องบอกลากันตลอดกาลแล้วแท้ๆ...


แล้วมิวสิคัลเรื่องนี้ก็จบลงด้วยเสียงปืนปลิดชีพมาตาฮารี นางเอกของเรื่องค่ะ



จากที่ไปดูมาทั้งสองเรื่อง ก็ชอบทั้งสองเรื่องเลยค่ะ

เป็นการดูมิวสิคัลครั้งแรกที่ประทับใจมากๆ ไม่ใช่แค่เพราะมีพี่เลโอและพี่เคนร่วมแสดง แต่เราประทับใจนักแสดงทุกคนเลย

อย่างมาตาฮารี ตอนแรกเราอยากดูคุณอกจูฮยอนค่ะ เพราะเธอรับบทมาตาฮารีมาตั้งแต่รอบแรกที่แสดงเมื่อปีที่แล้วเลย

แต่รอบที่เราไปดูเป็นรอบของคุณชาจียอน ซึ่งเราก็ประทับใจมากค่ะ


สำหรับเรา ภาพมาตาฮารีในเวอร์ชั่นของคุณอกจูฮยอนจะดูเย้ายวนแบบอ่อนหวานกว่าคุณชาจียอน

มาตาฮารีเวอร์ชั่นคุณชาจียอนจะดูเท่กว่าค่ะ จะว่ายังไงดี เป็นความเซ็กซี่และเย้ายวนแบบดิบๆ หน่อย ดูแมน(?)กว่า

ซึ่งเราชอบมากค่ะ 55555555


มาพูดถึงเมนหลักของการไปดูมิวสิคัลทั้งสองเรื่อง นั่นก็คือพี่เลโอกับพี่เคน


ดีใจมากค่ะที่มีโอกาสได้เห็นอีกมุมของไอดอลที่เราชอบ

เรื่องเสียงคงไม่ต้องชมแล้ว เพราะดีด้วยกันทั้งคู่ นั่งฟังไปก็รู้สึกปลาบปลื้มและอิ่มเอมใจค่ะ ฮือออ

ปกติได้ฟังแต่เสียงแบบที่ใช้ร้องเพลงก็ดีมากแล้ว พอได้ฟังเสียงแบบมิวสิคัลนี่คือต้องใช้คำว่าอัศจรรย์ใจเลยค่ะ55555 คือดีมากจริงๆ

เรื่องการแสดงก็ทำออกมาได้ดีมากเช่นกัน เราไม่ได้ดูรอบของนักแสดงคนอื่น คงจะเปรียบเทียบอะไรไม่ได้

แต่ถ้าพูดถึงแค่ในส่วนรอบของทั้งคู่ พี่ๆ เขาทำได้ดีแล้วค่ะ เรียกตัวว่านักแสดงมิวสิคัลได้ ไม่อายใครแน่นอน

ถ้ามีโอกาสก็หวังว่าจะได้ไปดูมิวสิคัลที่พี่เลโอและพี่เคนได้ร่วมแสดงอีกครั้ง

รวมถึงพี่เอ็นด้วยยย ขอให้ได้แสดงอีกนะ ฮืออออ


เอาล่ะ พิมพ์มายาวเหยียด ใครที่เข้ามาอ่านก็ขอขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้นะคะ

ก่อนกลับไทย เราได้ซื้อนิยายมาตาฮารีมาด้วย เล่มนี้เขียนขึ้นโดยอิงจากมิวสิคัลมาตาฮารีในปี 2016 เลยค่ะ

(เวอร์ชั่นปี 2017 จะเปลี่ยนรายละเอียดปลีกย่อยนิดหน่อย แต่โดยรวมแล้วเนื้อเรื่องหลักยังเหมือนเดิม)



เพราะฉะนั้น ส่วนไหนที่ไม่เข้าใจหรือฟังไม่ทัน เราก็จะอ่านเก็บเอาจากในนิยายนี่แหละค่ะ555555

ที่จริงถ้าว่างก็อยากแปลให้ได้อ่านกันด้วย แต่ช่วงนี้ยังมีงานติดพัน อาจจะยังทำอย่างที่คิดไว้ไม่ได้ ฮือออ

แถมไม่รู้ว่าจะอ่านจบเมื่อไหร่อีกต่างหาก orz


เอาเป็นว่าถ้าอ่านจบแล้วจะมาเล่าสู่กันฟังนะคะ

อาจจะเป็นในทวิตเตอร์ หรืออาจจะเขียนเป็นบล็อกแบบนี้เล่าเลย

และถ้ามีโอกาส (และเวลา...) ก็จะพยายามแปลให้ได้อ่านด้วยกัน


ขอบคุณอีกครั้งที่อ่านมาถึงตรงนี้ค่ะ


#CielozA

댓글